

























Cosmograph Daytona
กำเนิดขึ้นเพื่อการแข่งขันนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก Cosmograph Daytona ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นนาฬิกาที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและชัยชนะ เรือนเวลาที่ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตนี้ ได้เคียงข้างนักแข่งมากมายในทุกความสำเร็จ ทั้งยังสร้างชื่อได้ไกลเกินกว่าขอบสนามแข่ง เพราะได้อยู่บนข้อมือของเหล่าผู้กล้า ที่เปลี่ยนทุกจุดเริ่มต้นให้กลายเป็นความท้าทายครั้งใหม่ ผู้สวมใส่ Daytona ในตำนานอย่าง Paul Newman คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด












สถิติความเร็วครั้งแรก
หลังพวงมาลัยของรถแข่ง Bluebird อันเลื่องชื่อ Sir Malcolm Campbell นักแข่งชาวอังกฤษ กลายเป็นบุคคลแรกที่ทำความเร็วทะลุ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (483 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) บนข้อมือของเขาคือ Rolex Oyster เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายแรกๆ ที่ตอกย้ำสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง Rolex กับโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต
1935
จุดเริ่มต้นของความร่วมมือ
Rolex ได้กลายเป็นพันธมิตรของสนาม Daytona International Speedway นับตั้งแต่เปิดใช้งานในปี 1959 ในเวลานั้น สนามแข่งแห่งนี้ถือเป็นสนามที่เร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา และยังเป็นหนึ่งใน “ซูเปอร์สปีดเวย์” แห่งแรกของโลก และในเวลาไม่นาน มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับนานาชาติของการแข่งขันความเร็วและเอ็นดูรานซ์
1959

การเปิดตัวของ Cosmograph
นาฬิการุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพในวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยผสานดีไซน์อันโดดเด่นเข้ากับสมรรถนะด้านความเที่ยงตรงระดับสูง โดย Rolex ได้สร้างโครโนกราฟที่กำเนิดขึ้นเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสนามแข่ง และกลายเป็นนาฬิกาที่เป็นไอคอนในประวัติศาสตร์ ในช่วงแรกๆ ของการผลิต คำว่า “Daytona” เริ่มปรากฏบนหน้าปัดของนาฬิกาบางรุ่นที่จัดจำหน่ายในตลาดอเมริกา และต่อมา สัญลักษณ์นี้ก็ค่อยๆ กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำนาฬิการุ่นนี้
1963

ปุ่มกดด้านข้างแบบยึดด้วยสกรู
Cosmograph ได้รับการพัฒนาขึ้น โดยตอนนี้มาพร้อมเวอร์ชันที่มีปุ่มแบบยึดด้วยสกรู สิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ปุ่มกดเกิดการกระแทกโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงช่วยป้องกันความเสี่ยงที่น้ำจะเข้าไปในภายในนาฬิกาได้ เพื่อเป็นการยืนยันถึงคุณสมบัติการกันน้ำได้อย่างยอดเยี่ยมของนาฬิการุ่นนี้ คำว่า “Oyster” จึงถูกสลักไว้บนหน้าปัดนาฬิกาควบคู่ไปกับคำว่า “Cosmograph” นวัตกรรมใหม่อีกอย่างหนึ่งคือขอบตัวเรือนที่เคลือบ Plexiglas มีสีดำ โดยมีสเกลวัดความเร็วเป็นสีขาวเพื่อ ให้อ่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
1965
จากสนามแข่งสู่จอเงิน
Cosmograph Daytona ได้เปิดตัวสู่โลกภาพยนตร์ Paul Newman และ Joanne Woodward ภรรยาของเขา รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Winning โดยผู้กำกับ James Goldstone ซึ่งมีฉากบางส่วนเกิดขึ้นที่ Daytona Beach ในเรื่อง Newman รับบทเป็นนักแข่งรถ ก่อนเริ่มถ่ายทำ ภรรยาของเขาได้มอบ Cosmograph Daytona ให้เป็นของขวัญ พร้อมสลักคำว่า “DRIVE CAREFULLY, ME” ไว้บนตัวเรือน
1968
Jackie Stewart,
“ฟลายอิงสก็อตส์แมน”
Jackie Stewart คว้าแชมป์โลก Formula 1 เป็นครั้งแรก นักแข่งรถชาวสก็อตแลนด์ผู้เป็น Rolex Testimonee นับตั้งแต่ปี 1968 ได้เป็นแชมป์โลกถึง 3 สมัยด้วยชัยชนะรวม 27 ครั้งและขึ้นโพเดียมถึง 99 ครั้ง

ผมได้รับนาฬิกา Rolex Daytona ในช่วงปลายยุค '60 ที่โมนาโก เพื่อเป็นเกียรติแก่ชัยชนะในการแข่งขันระดับตำนาน ผมเก็บนาฬิกาเรือนนี้ไว้ตลอดช่วงเวลาเหล่านั้นและยังหยิบมาใส่อยู่บ่อยๆ

1969

ระบบไขลานอัตโนมัติ
Cosmograph Daytona มาพร้อมกับคาลิเบอร์ 4030 ซึ่งเป็นกลไกโครโนกราฟแบบไขลานอัตโนมัติ เพื่อให้บรรลุถึงมาตรฐานนี้ วิศวกรผู้ผลิตได้พัฒนาหนึ่งในกลไกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนั้น ด้วยการแก้ไขโครงสร้างอย่างละเอียด เพื่อยกระดับความเชื่อถือให้สูงยิ่งขึ้น
1988
Tom Kristensen, “มิสเตอร์เลอมองส์”
Tom Kristensen คว้าชัยชนะครั้งแรกในรายการ 24 Hours of Le Mans นักแข่งชาวเดนมาร์กผู้คว้าชัยชนะในการแข่งขันระดับตำนานถึงเก้าครั้ง จนได้รับฉายาว่า “มิสเตอร์เลอมองส์”
ดูข้อมูลเพิ่มเติม1997

กลไกการทำงานประสิทธิภาพเหนือระดับ
Rolex เปิดตัวคาลิเบอร์ 4130 ซึ่งได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยสมบูรณ์ภายในโรงงานของแบรนด์ กลไกโครโนกราฟสุดล้ำนี้ถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรม และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Rolex มันเป็นกลไกรุ่นแรกที่มาพร้อมแฮร์สปริง Parachrom ซึ่งเป็นแฮร์สปริงชิ้นแรกๆ ที่ผลิตขึ้นเป็นการภายในของแบรนด์ และมีฟังก์ชันจับเวลาที่มีการลดทอนชิ้นส่วนให้น้อยลง และยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น
2000

นาฬิการะดับไอคอนกับความท้าทายในตำนาน
Cosmograph Daytona ได้รับเลือกให้เป็นนาฬิกาอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans การแข่งขันเอ็นดูรานซ์ที่เก่าแก่และทรงเกียรติที่สุด โดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1923
2001

เซรามิกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง
ขอบตัวเรือน Cerachrom แบบหล่อชิ้นเดียว นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างแท้จริง โดยเปิดตัวในรุ่น Cosmograph Daytona ขอบตัวเรือนเซรามิกที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงนี้ มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และแทบไม่เป็นรอยขีดข่วน พร้อมมอบความงามที่ไม่มีเหมือนใคร
2011

Scott Pruett
“มิสเตอร์เดย์โทนา”
Scott Pruett คว้าชัยในรายการ Rolex 24 At Daytona เป็นครั้งที่ 5 ในแต่ละครั้งที่เขาชนะ เขาได้รับมอบ Cosmograph Daytona ที่สลักโลโก้การแข่งขัน วันที่ และคำคำเดียวที่นักแข่งทั่วโลกใฝ่ฝันจะได้ครอบครอง คือคำว่า “Winner” ผู้ชนะชาวอเมริกันกล่าวถึงถ้วยรางวัลที่นักแข่งทั่วโลกร่ำร้องหา “ทุกอย่างมันอยู่ที่นาฬิกาเรือนนี้แหละ”
2013

สายโลหะอันโดดเด่น
ปัจจุบัน Cosmograph Daytona มีจำหน่ายพร้อมสาย Oysterflex ในรุ่นทองคำ ทองคำขาว และ Everose gold 18 กะรัต สาย Oysterflex เป็นการผสมผสานคุณสมบัติของสายนาฬิกาโลหะในด้านความทนทานและความน่าเชื่อถือเข้ากับความยืดหยุ่น สวมใส่สบายแบบสายอีลาสโตเมอร์ได้อย่างลงตัว
2017

ยุคใหม่
หน้าปัดและตัวเรือนของ Cosmograph Daytona ได้รับการปรับโฉมใหม่ ในขณะเดียวกันขอบตัวเรือน Cerachrom ก็มีขอบที่รังสรรค์จากโลหะชนิดเดียวกับที่ใช้กับตัวเรือนตรงกลาง ทั้งยังมาพร้อมกลไกการทำงาน 4131 รุ่นใหม่ที่ทำงานร่วมกับชุดกลไกปล่อยจักร Chronergy ตัวดูดซับแรงกระแทก Paraflex และลูกเหวี่ยงแบบคัตเอาต์ นอกจากนี้ ยังได้รับการตกแต่งแบบ Rolex Côtes de Genève ด้วย สำหรับรุ่นแพลทินัม 950 นั้นส่วนของลูกเหวี่ยงจะทำจากทองคำ 18 กะรัต และผู้สวมใส่สามารถมองเห็นได้ผ่านตัวเรือนด้านหลังแบบโปร่งใส

รุ่นสุดพิเศษ
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของการแข่งรถเอ็นดูรานซ์ 24 Hours of Le Mans ทาง Rolex ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นที่ใช้กลไกคาลิเบอร์ 4132 ที่สามารถใช้ฟังก์ชันจับเวลาได้เกิน 24 ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 12 ชั่วโมงตามปกติของนาฬิการุ่นนี้
2023

Jamie Chadwick,
โฉมหน้าใหม่แห่งโลกมอเตอร์สปอร์ต
Jamie Chadwick ได้ดำรงฐานะ Rolex Testimonee นับตั้งแต่ปี 2022 โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกรนด์มาร์แชลของรายการ Rolex 24 At Daytona นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ต ที่มีเสียงของผู้หญิงกล่าววลีสุดอมตะว่า “Drivers, start your engines”
ดูข้อมูลเพิ่มเติม