Air‑King

เวลาแห่งการนำทาง

Air-King อันสง่า

Air‑King สืบสานมรดกด้านการบินของ Rolex Oyster รุ่นดั้งเดิม มาพร้อมตัวเรือนที่รังสรรค์ขึ้นจาก Oystersteel ขนาด 40 มม. พร้อมสายนาฬิกา Oyster แบบข้อสายนาฬิกาแข็ง และหน้าปัดสีดำอันโดดเด่น

Air-King

หน้าปัดสีดำ
โดดเด่น

ชื่อ “Air‑King” ปรากฏบนหน้าปัดตั้งแต่การเปิดตัวในปี 1958 ด้วยตัวอักษรที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นที่จดจำได้ในทันที

นับตั้งแต่ปี 2016 Air‑King มาพร้อมหน้าปัดสีดำอันโดดเด่น และตัวเลข 3, 6 และ 9 ขนาดใหญ่ มอบการแสดงชั่วโมงและสเกลนาทีที่ชัดเจนเพื่อการนำร่องขณะอ่านเวลา

นับตั้งแต่ปี 2022 การแสดงผลของนาฬิกามีความทันสมัยและสมดุลขึ้นด้วยการเพิ่มเลข “0” ก่อนเลข “5” บนสเกลนาที

Air-King

เข็มวินาทีสีเขียวเป็นตัวแทนของสีอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์

สายโลหะและชุดตัวล็อก

สายนาฬิกา Oyster
นาฬิกา Air‑King มาพร้อมสายนาฬิกา Oyster สายโลหะแบบข้อต่อสามชิ้นที่พัฒนาขึ้นในปลายทศวรรษ 1930 และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายที่สุดในคอลเลกชัน Oyster Perpetual ทั้งยังขึ้นชื่อในด้านความทนทานอีกด้วย
ชุดตัวล็อก Oysterlock
สายนาฬิกา Oyster ในนาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับชุดตัวล็อกนิรภัย Oysterlock แบบพับได้ที่ผ่านการออกแบบและจดสิทธิบัตรโดย Rolex เพื่อป้องกันสายนาฬิกาเลื่อนเปิดออกโดยไม่ได้ตั้งใจ
สายนาฬิกา Oyster
และยังมาพร้อมระบบขยายความยาวสาย Easylink ที่พัฒนาขึ้นโดยแบรนด์ ซึ่งทำให้สายโลหะสามารถเพิ่มความยาวได้เพิ่มประมาณ 5 มม. ได้อย่างง่ายดาย
ตัวเลข

หน้าปัดโครมาไลท์

Air‑King มาพร้อมหน้าปัดโครมาไลท์ มอบการอ่านเวลาที่ยอดเยี่ยมในทุกสภาพแวดล้อม แม้ในที่มืด เข็มนาฬิกาและเครื่องหมายบอกชั่วโมงรูปสามเหลี่ยมที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาได้รับการเติมหรือเคลือบด้วยสารเรืองแสงที่มอบการส่องสว่างที่ยาวนานยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ปี 2022 ตัวเลข 3, 6 และ 9 ซึ่งแต่เดิมผลิตจากทองคำขาว 18 กะรัตทั้งตัว ได้มีการเพิ่มคุณสมบัติให้สามารถมองเห็นได้ในความมืดด้วยวัสดุที่เป็นนวัตกรรมของ Rolex โดยเฉพาะ

ตัวเรือน Oyster

Air‑King คือเรือนเวลาที่เป็นที่สุดของความทนทานและความน่าเชื่อถือ ด้วยตัวเรือน Oyster ขนาด 40 มม. พร้อมประกันการกันน้ำที่ความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) ตัวเรือนตรงกลางรังสรรค์ขึ้นจากแท่ง Oystersteel ซึ่งเป็นอัลลอยที่ทนทานต่อการกัดกร่อนเป็นพิเศษ

ขอบตัวเรือนด้านหลังเซาะเป็นร่องและยึดด้วยสกรูโดยเครื่องมือพิเศษ ซึ่งมีเพียงช่างนาฬิกาของ Rolex เท่านั้นที่สามารถเปิดดูกลไกการทำงานภายในได้ เม็ดมะยมไขลาน Twinlock ติดตั้งระบบกันน้ำสองชั้นพร้อมการ์ดป้องกันเม็ดมะยมเพื่อการปกป้อง เจาะยึดด้วยสกรูเข้ากับตัวเรือนอย่างแน่นหนา

คริสตัลทำจากแซฟไฟร์ที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้อย่างแท้จริงและผ่านการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน และตัวเรือน Oyster กันน้ำที่พร้อมปกป้องกลไกการทำงานของเรือนเวลาอย่างเต็มศักยภาพ

คาลิเบอร์ 3230

กลไกการทำงานอันเหนือชั้น

คาลิเบอร์ 3230
Air‑King มาพร้อมกับคาลิเบอร์ 3230 กลไกการทำงานที่พัฒนาและผลิตขึ้นโดย Rolex แต่เพียงผู้เดียว โดยเปิดตัวในปี 2020 และประกอบเข้ากับนาฬิการุ่นนี้นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา กลไกการทำงานของระบบขึ้นลานอัตโนมัตินี้เป็นเทคโนโลยีการผลิตนาฬิการะดับแนวหน้า นำไปสู่สิทธิบัตรที่ตามมาอีกหลายฉบับ กลไกการทำงานนี้มีประสิทธิภาพในด้านความเที่ยงตรง การสำรองพลังงาน การทนทานต่อแรงกระแทกและสนามแม่เหล็กที่โดดเด่น และยังสวมใส่สะดวกสบาย พร้อมเปี่ยมไปด้วยความน่าเชื่อถือ
ชุดกลไกปล่อยจักร Chronergy
คาลิเบอร์ 3230 ประกอบด้วยชุดกลไกปล่อยจักร Chronergy ระดับสิทธิบัตร อันเป็นการผนวกประสิทธิภาพด้านพลังงานขั้นสูงเข้ากับความน่าเชื่อถือ การผลิตจากนิกเกิล-ฟอสฟอรัสทำให้สามารถต้านทานสนามแม่เหล็กได้
แฮร์สปริง Parachrom
กลไกการทำงานดังกล่าวยังติดตั้งแฮร์สปริง Parachrom สีฟ้าที่ Rolex ผลิตขึ้นจากอัลลอยต้านสนามแม่เหล็ก แฮร์สปริง Parachrom สีฟ้าประกอบด้วยโอเวอร์คอยล์ Rolex ที่รับประกันการทำงานอย่างเป็นปกติของคาลิเบอร์ในทุกตำแหน่ง
Paraflex
ออสซิลเลเตอร์ติดตั้งด้วยตัวดูดซับแรงกระแทก Paraflex ประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบและได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Rolex ซึ่งช่วยเพิ่มความทนทานต่อแรงกระแทกของกลไกการทำงาน
คาลิเบอร์ 3230 มาพร้อมกับโมดูลระบบขึ้นลานอัตโนมัติผ่านโรเตอร์ Perpetual นอกจากนี้ สถาปัตยกรรมกระปุกลานแบบใหม่และประสิทธิผลอันเหนือชั้นของชุดกลไกปล่อยจักร ยังเอื้อให้เพิ่มความสามารถในการสำรองพลังงานของคาลิเบอร์ 3230 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 ชั่วโมง